มิลล์คอน จี้รัฐช่วยผู้ผลิตเหล็กขอ No VAT ห้ามตั้งโรงเหล็กทุกประเภทแบบมาเลเซีย

08 ธันวาคม 2566
มิลล์คอน จี้รัฐช่วยผู้ผลิตเหล็กขอ No VAT ห้ามตั้งโรงเหล็กทุกประเภทแบบมาเลเซีย
“มิลล์คอน สตีล” เผยวิกฤตอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กไทยโดนกระทบหนัก เจอแรงกดดันแข่งขันราคาจากเหล็กจีน วอนรัฐเร่งช่วยเหลือด่วน ชง 3 มาตรการ “No VAT-ดูแลราคาพลังงาน-ขยายประกาศการห้ามตั้งโรงงานเหล็กเส้นในประเทศต่อไปอีก” เสนอห้ามตั้งโรงงานเหล็กทุกประเภทเป็นเวลา 2 ปีแนวทางเดียวกับมาเลเซีย พร้อมชูเหล็กเกรดพิเศษขยายตลาดใหม่
วันที่ 4  ธันวาคม 2566 นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เข้าขั้นวิกฤตและกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการถูกดัมพ์ราคา หรือการถูกทุ่มตลาด จากสินค้าจีนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป 9 เดือนสะสมจากจีน ในปี 2565 มีจำนวน 2,847,869 ตัน และปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,490,987 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 22.6% (ข้อมูลจาก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย) บวกกับต้นทุนการผลิตจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน ส่งผลให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้

กลุ่มมิลล์คอนฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศ หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปด้วย ดังนั้นจึงวอนขอให้ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กโดยด่วน โดยส่วนตัวมองว่าภาครัฐจะต้องเข้ามาบูรณาการทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งในเบื้องต้นมีข้อเสนอ 3 เรื่องสำคัญ คือ

1.ปัญหาของเศษเหล็ก ที่ปัจจุบันโรงหลอมทั้งหมดในประเทศมีปัญหาเรื่องของการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยผู้ผลิตเหล็กในฐานะผู้ซื้อผู้บริการ ที่อยู่ในระบบภาษีถูกต้อง สามารถเป็นผู้นำส่งภาษีให้กับทางกรมสรรพากรแทนผู้ขายได้ หรืออาจใช้ในรูปแบบ No VAT เช่นเดียวกับสินค้าเกษตร เนื่องจากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคเช่นกัน

2.ภาครัฐควรเร่งเข้ามาดูแลเรื่องของราคาพลังงานทั้งค่าไฟฟ้า และน้ำมัน ที่จะมีผลต่อการขนส่งสินค้า เนื่องจากขณะนี้ราคาพลังงานที่ใช้ในปัจจุบัน ยังคงเป็นต้นทุนที่สูงอยู่ แม้ภาครัฐจะมีการช่วยเหลือปรับอัตราราคาให้ต่ำลงกว่าเดิมแล้วก็ตาม

3.ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต้องการให้ภาครัฐขยายระยะเวลาของประกาศการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานเหล็กเส้นในประเทศไทยออกไปอีก ซึ่งประกาศดังกล่าวระบุไว้ว่า “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ ในราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นเวลา 5 ปี” ซึ่งประกาศมีขึ้นในปี 2563 และจะครบกำหนดในปี 2568

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ไทยใช้แนวทางเดียวกับประเทศมาเลเซีย ที่ห้ามตั้งโรงงานเหล็กทุกประเภทเป็นเวลา 2 ปี ถือเป็นมาตรการที่ปกป้องตลาดเหล็กในประเทศได้อย่างมาก
ปัจจุบัน มิลล์คอนฯ มีการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่งทรงยาว เหล็กเส้นข้ออ้อย และผลิตภัณฑ์เหล็กคุณภาพสูงประเภทอื่น ๆ รวมกำลังการผลิต 10,000-20,000 ตัน/เดือน หรือ 200,000 ตัน/ปี ซึ่งลดลงจากกำลังการผลิตเต็ม (Capacity) ที่มีถึง 600,000 ตัน/ปี กำลังการผลิตที่ไม่เต็มความสามารถดังกล่าว เกิดจากมีปริมาณเหล็กที่นำเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผลิตเต็ม Capacity ที่มีได้ หรือใช้กำลังการผลิตเพียง 20-30% เท่านั้น

ซึ่งสภาวะแบบนี้เกิดขึ้นกับทั้งอุตสาหกรรมผู้ผลิตเหล็กในประเทศ และมีแนวโน้มว่ากำลังการผลิตของแต่ละบริษัทจะลดลงเรื่อย ๆ หากปัญหาการดัมพ์ราคาของเหล็กที่นำเข้าจากจีน ยังไม่ได้รับการแก้ไข และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ ที่ล่าสุดโรงงานเหล็กรายใหญ่และเก่าแก่ของไทยต้องปิดกิจการลง สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมเหล็กไทยเข้าขั้นวิกฤต

“เรามีกำลังการผลิตแต่ใช้ไม่ได้ วิกฤตที่เกิดขึ้นทั้งหมด มิลล์คอนฯ และผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ต่างวิตกกังวลอย่างมาก เพราะการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง เป็นผลจากการอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้ศึกษาความต้องการอย่างจริงจัง ทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้มีการแข่งขันเชิงการค้าขายอย่างสูง

มีการหั่นราคาจนผู้ประกอบการเดิมต้องปิดตัวลงหลายรายในข่วง 5 ปีที่ผ่านมา จึงต้องเสนอมาตรการและขอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด แต่มิลล์คอนฯเองนอกจากรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ อีกแนวทางหนึ่งคือการปรับตัวหันไปสู่การผลิตเหล็กเกรดพิเศษ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ และขยายตลาดเพิ่ม”


แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.